![ว่าด้วยเรื่องการโจทก์ [6839-3d]](/_ipx/_/https://images.zeno.fm/Xfg9kec2Xjylm9-RUq-MPXunvBW699s1rfGS-gNyQyE/rs:fill:512:512/g:ce:0:0/aHR0cHM6Ly9hc3NldHMucGlwcGEuaW8vc2hvd3MvNjM3NjBhNjU4Yzg5MGEwMDEwMmEwYjM5L3Nob3ctY292ZXIuanBnP3U9MTc2NDEwNDQwMDAwMA.webp)
โจทก์ คือ ผู้ยื่นฟ้องคดีต่อศาล ที่เชื่อว่าตนเองได้รับความเสียหาย หรือถูกละเมิด และต้องการการเยียวยาจากฝ่ายที่ถูกฟ้อง ซึ่งเรียกว่า "จำเลย" โจทก์มีหน้าที่นำเสนอหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้าง
การโจทก์ในทางพุทธศาสนาหมายถึงการกล่าวหาหรือการตำหนิผู้อื่น ในที่นี้จะเทียบเคียงให้เข้าใจในนัยยะทางพุทธศาสนาหากมีการโจทก์หรือถูกโจทก์ในชีวิตประจำวันจะต้องทำอย่างไร โดยจะแบ่งไว้ 2 ส่วนคือส่วนของผู้โจทก์ และผู้ถูกโจทก์ ดังนี้
ผู้โจทก์ต้องมีข้อพิจารณา 5 ประการ ดังนี้
- ต้องมีกายบริสุทธิ์ต้องมีวาจาบริสุทธิ์ต้องมีจิตเมตตาต้องมีความเป็นพหูสูตต้องจำและวินิจฉัยบทสวดพระปาติโมกข์ได้ถูกต้อง(ในทางโลกต้องรู้กฎหมายอย่างละเอียดรอบคอบ)
คุณสมบัติของผู้โจทก์ ต้องตั้งอยู่ในธรรม 5 ประการนี้คือ
- กล่าวโดยกาลอันควร ไม่กล่าวด้วยกาลไม่ควรกล่าวด้วยคำจริง ไม่กล่าวด้วยคำไม่จริงกล่าวด้วยคำสุภาพ ไม่กล่าวด้วยคำหยาบกล่าวด้วยคำที่ก่อประโยชน์ ไม่กล่าวด้วยคำที่ไร้ประโยชน์มีเมตตาจิตกล่าว ไม่มุ่งร้ายแล้วกล่าว
หากผู้โจทก์มีคุณสมบัติตาม 10 ประการข้างต้นนี้จะไม่เดือดร้อนจากการโจทก์ของตน
คุณสมบัติของผู้ถูกโจทก์ ต้องตั้งอยู่ในธรรม 5 ประการนี้คือ
- ความจริง คือตั้งไว้ในความจริงความไม่ขุ่นเคือง คือถ้าเราถูกโจทก์ก็อยู่ขุ่นเคือง
การโจทก์นั้นหากผู้โจทก์และผู้ถูกโจทก์ตั้งอยู่ในธรรมทั้ง 2 ฝ่ายก็จะนำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่ทำไม่ถูกให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องขึ้นมาได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.