![รู้ด้วยปัญญาญาณ [6850-3d]](/_ipx/_/https://images.zeno.fm/ePbekUIztzBQqg44ALHxCeXemVk8qLiEkhRo9hkue30/rs:fill:512:512/g:ce:0:0/aHR0cHM6Ly9hc3NldHMucGlwcGEuaW8vc2hvd3MvNjM3NjBhNjU4Yzg5MGEwMDEwMmEwYjM5L3Nob3ctY292ZXIuanBnP3U9MTc2NTMxNDAwMDAwMA.webp)
- “รู้แต่ไม่รู้ คนที่จะถึงจึงรู้" นำอุปมาอุปไมยมาอธิบายธรรมะ ทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยจัดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
- กลุ่มแรก นำอุปมา 5 นัยยะ คือ เมฆ หนู หม้อ ห้วงน้ำ และมะม่วง มาใช้อธิบายเพื่อความเข้าใจในองค์ธรรม 3 ส่วน แบ่งเป็น สังเกตจากภายนอก 2 ส่วน คือจากการเรียนหรือไม่เรียน เรียนสูงหรือไม่สูง เป็นการรู้จากความจำ และความน่าเลื่อมใสหรือไม่น่าเลื่อมใส นำมาเปรียบกับอุปมาข้างต้น เช่น เมฆมีเสียงหรือไม่มีเสียง หนูขุดรูแต่ไม่อยู่ ห้วงน้ำลึกหรือตื้น เป็นต้น จากส่วนที่เป็นภายใน 1 ส่วน เป็นการรู้ด้วยปัญญาญาณ รู้แจ้งในภายใน มีความรู้ในอริยสัจสี่ เป็นอริยบุคคลที่พัฒนามาตามลำดับ คนที่ถึงแล้วจึงรู้ มีการนำไปโยงกับอุปมาในส่วนที่สังเกตจากภายนอก เช่น หม้อที่เต็มและปิดฝาคือบุคคลที่รู้อริยสัจมีความน่าเลื่อมใส ห้วงน้ำตื้นมีเงาตื้น คือบุคคลที่ไม่รู้อริยสัจทั้งยังไม่น่าเลื่อมใส เป็นต้น
จากการเชื่อมอุปมาเหล่านี้กับองค์ธรรมทั้งสามเข้าด้วยกันทำให้เราไม่อาจสรุปว่าไม่เรียนคือไม่รู้ อย่าเหมา เพราะเมฆอาจจะรอคำรามหรือฝนรอตกอยู่ คนที่กำลังบรรลุธรรมหรือบรรลุธรรมแล้วท่านจึงจัดไว้ด้วยกันเนื่องจากมาตามทาง อย่างไรก็ถึงจุดหมาย จะรู้ประมาณว่ามากหรือน้อย สัดส่วนเป็นเท่าใด มองได้ครอบคลุม ไม่ด่วนตัดสิน
-ในกลุ่มที่สองใช้อุปมาของวัวที่ข่มเหงหรือไม่ข่มเหงฝูงตนฝูงอื่นหรือทั้งสอง ต้นไม้เป็นไม้เนื้อแข็งหรืออ่อนคือคนมีศีลหรือทุศีลอยู่ร่วมกัน อสรพิษคือความโกรธมีพิษแล่นหรือไม่แล่น พิษร้ายหรือไม่มีพิษ การอุปมาในข้อนี้จะช่วยให้เข้าใจในกลุ่มแรกมากขึ้น
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.